รุด กุลลิต ปี 1987-1993 และ 1994-95 อดีตนักเตะเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกหลังย้ายมาอยู่กับมิลานเมื่อปี 1987 หนึ่งใน “สามทหารเสือฮอลแลนด์” อันลือชื่อเคียงคู่กับ มาร์โก ฟาน บาสเทน และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ภายใต้การนำทัพของ อาร์ริโก ซาคคี กุนซือระดับตำนานของปีศาจแดงดำในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 จนถึงต้นทศวรรษที่ 90 กุลลิตเป็นผู้ทำคนเดียว 2 ประตูให้มิลานเอาชนะ สเตอัว บูคาเรสต์
ไปได้ในศึกแชมเปียนคัพปี 1989 พาทีมคว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี แถมยังป้องกันแชมป์ได้ในปีถัดไป และยังเป็นกำลังสำคัญในการคว้าแชมป์เซเรียอา 3 สมัยติดต่อกันในปี 1991-92, 1992-93 และ 1993-94
เดยัน ซาวิเซวิช ปี 1992-98 จากความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม ทำให้ดาวเตะทีมชาติยูโกสลาเวียเจ้าของฉายา “อัจฉริยะลูกหนัง” มีแฟนชื่นชอบในฝีเท้าของเขาอย่างมากมาย gclub แม้จะต้องพบกับความยากลำบากกับการแย่งโควต้านักเตะต่างชาติในช่วงแรก แต่เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม แถมยังสามารถสร้างชื่อได้ด้วยการเป็นผู้ยิงประตูสุดสวยนัดชิงชนะเลิศยูฟา แชมเปียนส์ลีกที่ถล่มบาร์เซโลนาไปได้อย่างหมดรูป 4-0 และยังเป็นกำลังสำคัญในทีมชาติยูโกสลาเวียในยุคเดียวกับ ดราแกน สตอยโควิช
สโวนิเมียร์ โบบัน ปี 1991-2001 แม้ดาวเตะเลือดโครแอตจะย้ายมาเป็นสมาชิกของมิลานตั้งแต่ปี 1991 แต่เขาก็ต้องรอไปก่อนถึง 1 ปีหลังถูกส่งตัวไปให้เพื่อนร่วมลีกอย่าง บารี ยืมตัวไปใช้งาน โบบันก็เหมือนนักเตะต่างชาติคนอื่นๆที่ประสบความยากลำบากในการแย่งโควต้าแข้งนอกประเทศ แต่ผลงานสม่ำเสมอของเจ้าก็ทำให้เขาสามารถขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ จนได้รับสืบทอดหมายเลข 10 จาก ซาวิเซวิช ในปี 1998 ก่อนจะพาทีมคว้าคว้าแชมป์เซเรียอาในฤดูกาลนั้นไปครอง แถมยังเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมชาติโครเอเชียในฟุตบอลโลก 98 ที่ฝรั่งเศส จนสามารถคว้าอันดับ 3 มาได้อย่างเหนือความคาดหมาย
มานูเอล รุย คอสต้า ปี 2001-2006 หลังจากทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไปพร้อมกับ กาเบรียล บาติสตูตา ที่ฟิออเรนตินามานานหลายปี รุย คอสตา ก็จำเป็นที่ลาจากทีมม่วงมหากาฬดจากการถูกขายไปให้มิลานด้วยค่าตัวสูงถึง 30 ล้านปอนด์ อันเนื่องจากสถานะทางการเงินที่สั่นคลอนของสโมสร แม้จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังยอดเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยน พร้อมรับบทบาทจอมทัพหมายเลข 10 จ่ายบอลให้ ฟิลิปโป อินซากี และ อังเดร เชฟเชนโก ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟาแชมเปียนส์ลีกได้ในปี 2003 ด้วยการเอาชนะเพื่อนร่วมชาติอย่างยูเวนตุสในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในสามชิกยุคทองของโปรตุเกสที่เต็มไปด้วยนักเตะชื่อดังอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, เปาโล ซูซา และ เฟอร์นันโด เคาโต
คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ ปี 2002-2012 อาแจ็กซ์, เรอัล มาดริด และ อินเตอร์ คือต้นสังกัดเก่าของดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์ก่อนจะย้ายมาอยู่กับมิลานในปี 2002 ความเป็นจริงหมายเลขแรกที่ซีดอร์ฟสวมใส่ในสีเสื้อมิลานคือหมายเลข 20 แต่หลัง รุย คอสต้า ย้ายออกไปในปี 2006 หมายเลข 10 ก็ตกมาเป็นของเขา และแค่เพียงปีแรกที่ย้ายมาร่วมทีม ซีดอร์ฟก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครองได้สำเร็จ กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรป 3 ครั้งจาก 3 สโมสรที่แตกต่างกัน มิดฟิลด์สัญชาติดัตช์อยู่ค้าแข้งในถิ่นซานซิโรยาวนานถึง 10 ปี ทำสถิติเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ลงเล่นให้กับมิลานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะย้ายกลับไปเล่นให้กับ โบตาโฟโก ในลีกบราซิลเมื่อปีที่ผ่านมา
เควิน พรินซ์ บัวเต็ง ปี 2010-2013 ก่อนที่จะย้ายมาอย่กับมิลานในปี 2010 พรินซ์ บัวเต็ง เคยมีประสบการณ์อันโชกโชนในลีกของเยอรมันและอังกฤษมาพอสมควร ดาวเตะเลือดดอยช์ได้รับสืบทอดเบอร์ 10 ของมิลานหลัง ซีดอร์ฟออกจากทีมไปในปี 2012 แม้จะต้องรับความกดดันจากเหล่าผู้เล่นหมายเลข 10 ชื่อดังที่เคยรับบทบาทนี้ แต่ บัวเต็ง ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี และเป็นกำลังหลักของทีมตลอด 3 ปีในสีเสื้อมิลาน ก่อนจะย้ายไปอยู่กับชาลเกอย่างสุดช็อคในช่วงตลาดนักเตะเมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา
เคซุเกะ ฮอนดะ ปี 2014 – ? แม้จะมีข่าวกับมิลานตลอดช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา แต่ด้วยการเจรจาที่ไม่ลุล่วงกับ ซีเอสเคเอ มอสโค ต้นสังกัดของ ฮอนดะ ทำให้ดีลต้องล่มไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่สัปดาห์ที่ผ่านมา อาเดรียโน กัลเลียนี รองประธานสโมสรของมิลานจะออกมายืนยันด้วยตนเองว่าจอมทัพเลือดซามูไรจะย้ายมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัวในเดือนมกราคม พร้อมสืบทอด “เอซนัมเบอร์” หมายเลข 10 ของมิลานเป็นคนต่อไป ส่วนผลงานจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องคอยติดตามชมกันต่อไป