เดลีเล่าถึงช่วงเวลาที่แย่มาก นั่นก็คือตอนพวกเขาตกรอบฟุตบอล Euro ปีที่แล้ว เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่หลายๆคนออกมาพูดวิจารณ์พี่พอชว่า ต่อให้เก่ง หรือมีพรสวรรค์แค่ไหน ก็ควรได้รับการคุยอบรมเรื่องควบคุมอารณ์บ้าง! แต่อย่างที่เราทราบกันดี พี่พอชหาได้แคร์ไม่ เขารู้จักเด็กคนนี้ดี เขารู้ว่าสิ่งที่เดลีต้องการคือการได้กลับไปลงเล่นอีกครั้ง และรู้ว่าการลงโทษหรือเรียกไปคุยใดๆจะไม่ส่งผลดีอะไรกับเขา… แน่นอนว่าพี่พอชคือฝ่ายที่ถูกต้อง(อีกครั้ง) อาชีพค้าแข้ง และฟอร์มของเขาได้รับการยกระดับไปอีกขั้น พร้อมกับทีมของเขา ในซีซั่นที่ผ่านมา ด้วยผลงาน – 18 ประตู ใน 37 เกม – ช่วยให้เราคว้าอันดับ 2 มาได้ และได้รับการนับถือว่าเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์ที่สมศักดิ์ศรี การได้คุยกับเขาเป็นเวลาเพียง 20 นาที คุณจะเข้าใจได้เลยว่าทำไมพี่พอชถึงมีความเชื่อใจในตัวเด็กคนนี้ ยิ่งพอมานั่งย้อนนึกไป มันเป็นเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น หลังจากที่เขาย้ายมาที่ท็อตแน่มจาก MK Dons ในลีกวัน จนขึ้นมาติดทีมชาติ ถึงทุกวันนี้ “ผมเคยได้ยินคำที่เขาพูดกันบ่อยๆประมาณว่า – มันไม่น่าเชื่อจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องเชื่อ” GCLUB “สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ มันคือโมเม้นแบบนั้นเลย ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกความคิดในหัวว่า ‘เราทุ่มเทอย่างหนักมานานขนาดนี้ แล้วเราก็ตัดสินใจของเราเอง เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเชื่อแล้วแหละ!'” เดลี อัลลี เล่าถึงเมื่อเริ่มต้นซีซั่นที่ผ่านมา “ช่วงเริ่มต้นผมเครื่องติดช้าหน่อย…
หลังจากชนะรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมในปีก่อนหน้า ผมคิดว่าคู่ต่อสู้ก็เริ่มรู้จักผมมากขึ้น ผมเลยต้องเปลี่ยนการเล่นของผมนิดหน่อย แต่ในฐานะทีมแล้ว เราจบซีซั่นได้อย่างแข็งแกร่งเลย” “เราผิดหวังที่คว้าแชมป์ลีกมาไม่ได้ แต่เราพัฒนาขึ้นมาจากซีซั่นก่อนหน้าแน่นอน และมันก็ดีที่เราคว้าที่สองมาได้ สิ่งสำคัญคือเราเอาความมั่นใจซึ่งกันและกันกลับออกมาได้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก และเมื่อเราเจอฟอร์มของเรา เราก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมยาวๆเลย” ตัวอัลลีเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน โดยเฉพาะในเกมที่ท็อตแน่มชนะแชมป์อย่างเชลซี 2-0 ซึ่งเขาเป็นคนทำทั้งสองประตูในเกมนั้น – เกมที่เขาเกือบจะเหมือนสไตรเกอร์มากกว่าเพลย์เมคเกอร์ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้แค่ดูเหมือนเท่านั้น แต่เขาเคยเป็นจริงๆ และสัญชาตญาณบางอย่างอาจจะยังคงอยู่ก็ได้ “ตอนที่ผมเด็กมากๆ สมัยเล่นในระดับเยาวชน ผมเคยเล่นเป็นสไตรเกอร์… ผมนั่งสำรองบ่อยมาก ตอนผมเล่น U13 แล้วผจกทีมก็ดึงผมมา ให้ผมไปยืนอยู่หน้ากองหลังแทน ตั้งแต่นั้นมาผมก็สนุกกับการเล่นตำแหน่งนั้น ได้หยุดเกมของคู่ต่อสู้ ได้ตั้งเกมรุก โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องยิงประตูมากเท่าไหร่” “แต่พอผมขึ้นมาเล่นทีมตัวจริง ผจกทีมก็เริ่มขยับผมไปแดนหน้าอีกนิด ซึ่งมันช่วยให้ผมเริ่มเข้าใจเกมรุกอีกครั้ง เรียนรู้การขยับตำแหน่งของสไตรเกอร์ ผมอยู่ตำแหน่งประมาณเบอร์ 8 แล้วพอผมได้โอกาสเล่นกับท็อตแน่ม ผมก็ยินดีที่จะเล่นทุกๆตำแหน่งเลย… มันก็รู้สึกแปลกๆนะในช่วงแรกๆที่ผมต้องขึ้นไปยืนแดนหน้าใน PL แต่ผจกทีม(พี่พอช)ช่วยผมมากๆให้ผมได้ทำความเข้าใจกับมัน จนผมสนุกไปกับมัน ใครจะรู้ว่าผมจะไปจบที่ตำแหน่งไหน”
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะเปลี่ยนก็คือสถิติในทีมชาติอังกฤษเนี่ยแหละ เขาคือหนึ่งในหลายๆคนที่อยากเปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆจากเกมที่พ่ายไอซ์แลนด์มาเป็นความรู้สึกดีๆกับทีมชาติอังกฤษยุคใหม่นี้ “เราทุ่มเทกันเยอะมากในแคมป์เก็บตัว เราคุยถึงมัน(เกมที่พ่ายไอซ์แลนด์ตกรอบ)กัน และผมคิดว่ากาเรธ(เซาธ์เกต)เองก็รู้ ว่ามันยากแค่ไหนที่เราต้องพูดถึงมัน มันคือจุดตกต่ำของอาชีพค้าแข้งของพวกเราเลย แต่มันคือสิ่งสำคัญแหละ ที่เราจะต้องผ่านจุดตกต่ำแบบนั้นเพื่อพัฒนาทีมของพวกเรา เขาได้อธิบายในจุดนี้ให้พวกเราฟัง มันคือหนึ่งในโมเม้นที่พวกเรายังช็อคกันอยู่ ในฐานะทีมเราอาจจะยังไม่ได้นึกถึงการกลับมาจากความผิดหวังในวันนั้นด้วยซ้ำ ไม่รู้ถึงการรับมือกับสถานการณ์แบบนั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่เราต้องฝึกไปด้วยกันในฐานะทีม และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” “ผมไม่อยากกระทั่งพูด หรือคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ จนกาเรธเข้ามา” “มันยังทำให้ผมใจเต้นได้ตลอด รู้สึกจุกในลำคอทุกครั้งที่พูดถึง ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่ามันสำคัญในฐานะทีมนะ ที่เวลาเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น… คุณจะต้องผ่านมันไปด้วยกัน ดูว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมนั้น เราทำอะไรผิดตรงไหน” “มันมีหนทางให้เลือกมากมายในวงการฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือเมื่อคุณมีโอกาสที่จะพัฒนาในฐานะทีมแล้ว คุณต้องคว้ามันไว้ ถึงแม้มันจะแปลว่าคุณต้องผ่านอะไรแย่ๆแบบนั้นก็ตาม” ที่แน่ๆคงไม่มีใครสงสัยในตัวอัลลี ว่าเขาสามารถผ่านมันไปได้อีกครั้งแน่นอน