FOOTBAIl.COM

7 แข้งสุดพังในอังกฤษ แต่ชีวิตพุ่งกับลีกอื่นในยุโรป

    บางทีมันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหล่านี้พัฒนาขึ้นอย่างน่าตกใจทีเดียวซะหรอก… แต่มันอาจเป็นเพราะเหล่าสโมสรอังกฤษขาดความอดทนต่อผู้เล่นเหล่านี้ และกลายเป็นทีมในอนาคตของพวกเขาที่ได้ของดีไปครอบครองมาดูกันกับ 9 แข้ง

1.เยอโรม บัวเต็ง (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

    มันง่ายที่จะลืมว่าบัวเต็งเคยเล่นให้แมนฯ ซิตี้มาก่อน… หนึ่งในเซนเตอร์แบ็คที่ดีที่สุดในโลกตลอดหลายฤดูกาลหลัง ดาวเตะเยอรมันย้ายมาอยู่กับซิตี้ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ด้วยวัยเพียง 22 ปีจากฮัมบูร์ก ภายใต้สัญญา 5 ปี เมื่อปี 2010  ช่วงเวลาเขาในเมืองแมนเชสเตอร์เริ่มต้นอย่างเลวร้าย หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกสตาร์ตฤดูกาล 2010-11 บัวเต็งได้รับบาดเจ็บหัวเข่าระหว่างเล่นให้ทีมชาติ และมันยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม เมื่อเขาเดินชนกับรถเข็นเครื่องดื่มของสายการบิน ระหว่างเดินทางกลับบ้าน

  ผ่านพ้นไปเพียง 1 ปีและลงเล่นแค่ 24 นัด บัวเต็งย้ายไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 13.5 ล้านยูโร นั่นเป็นกำไรของ “เรือใบสีฟ้า” สำหรับผู้เล่นที่ไม่ใช่ตัวเลือกแรกโดยอัตโนมัติ “มันสำคัญสำหรับผมนะที่บาเยิร์นมีตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงให้” บัวเต็งกล่าว “ผมเชื่อว่า มันจะช่วยให้ผมได้เล่นเซนเตอร์แบ็กในทีมชาติบ่อยยิ่งขึ้น”

2.นิโกล่า คาลินิช (แบล็คเบิร์น)

คาลินิชย่ำสู่ถิ่นอีวู้ด พาร์ค ด้วยชื่อเสียงอันเร่าร้อนจากการเล่นให้ไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ด้วยการกระหน่ำถึง 30 ประตูให้ยักษ์ใหญ่แดนโครแอตตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เขายังเป็นตัวหลักในทีมชาติรุ่นยู-21 เช่นกัน ด้วยผลงาน 4 ประตูจาก 9 นัด แต่ศูนย์หน้าดาวรุ่งพบว่า ชีวิตในพรีเมียร์ลีกมันสาหัสเหลือเกิน หลังย้ายทีมด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ สตีฟ คีน ผู้จัดการทีม “กุหลาบไฟ” ในตอนนั้น แสดงความชัดเจนที่จะปล่อยคาลินิชออกไป หลังผ่านไปเพียง 2 ฤดูกาลและยิงได้แค่ 7 ประตูในลีก พร้อมเก็บกระเป๋าย้ายสู่ดนิโปร สโมสรในยูเครน ที่นี่เองที่ศูนย์หน้าโครแอตกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง คาลินิชเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของทีมในการพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ปี 2015 เขากด 6 ประตูในเส้นทางสู่วอร์ซอว์ คาลินิชทำประตูแรกในนัดชิงชนะเลิศที่พบเซบีย่า แม้สุดท้าย ดนิโปรพ่าย 2-3 ก็ตาม

     คาลินิชเซ็นสัญญากับฟิออเรนติน่าด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโรในซัมเมอร์นั้น และศูนย์หน้าโครแอตคืนฟอร์มเปรี้ยงปร้างเหมือนที่เคยทำได้ แฮตทริกที่ซาน ซีโร่ เกมชนอินเตอร์ในฤดูกาลแรกของเขาถือเป็นไฮไลท์สำคัญ ผลงาน 27 ประตูที่กระหน่ำตลอด 2 ฤดูกาลอันยอดเยี่ยม นำมาสู่การถูกมิลานยืมตัวในซัมเมอร์นี้ (พ่วงสัญญาซื้อขาด 25 ล้านยูโรในตอนท้ายด้วย)

3.บอร์ฆ่า บาเลโร่ (เวสต์บรอมวิช)

บาเลโร่ย้ายมาอยู่กับน้องใหม่ เวสต์บรอมวิช ในปี 2008 โดยเซ็นสัญญากับทีมของ โทนี่ โมว์เบรย์ ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของเขาในฟุตบอลอังกฤษค่อนข้างแปลก ก่อนแข้งสเปนพบว่า ตัวเองต้องร่วงตกชั้นไปเล่นแชมเปี้ยนชิพ หลังฤดูกาลแรกในถิ่นเดอะ ฮอว์ธอร์นส์

ก่อนหน้านั้น ยอดมิดฟิลด์ระบุว่า เขาจะจงรักภักดีกับเดอะ แบ็กกี้ส์ โดยระบุว่า “ผมยังมีสัญญากับที่นี่อีก 3 ปี และผมต้องการยึดมั่นอย่างนั้น แน่นอน การเล่นในลีกระดับดิวิชั่น 2 ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม แต่ถ้าผมต้องอดทนแล้วล่ะก็ ผมก็จะอดทนกับมัน”

อย่างไรก็ตาม เมื่อฤดูกาลใหม่มาถึง คำสัญญาดังกล่าวถูกโยนออกนอกหน้าต่าง และบาเลโร่ย้ายกลับไปอยู่กับสโมสรเก่าด้วยสัญญายืมตัว “ผมชอบที่จะเล่นในมายอร์ก้า และไม่ชอบอยู่ในดิวิชั่น 2 ของอังกฤษหรอกนะ” บาเลโร่ยักไหล่

    ต่อมา เขาถูกยืมตัวอีกครั้ง โดยไปอยู่กับบียาร์เรอัลในฤดูกาล 2010-11 ก่อนคว้า “ดอน บาลอน” ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผู้เล่นสัญชาติสเปนที่ดีที่สุดในลา ลีกา ตามด้วยการโยกสู่ฟิออเรนติน่า ที่สุดแล้ว เขาย้ายไปยังสโมสรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยอยู่ด้วยอย่าง อินเตอร์ มิลาน เอ้า! ตูมตามได้อีก

4.มาร์โก มาเตราซซี่ (เอฟเวอร์ตัน)

ปราการหลังผู้ช่วยให้อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก หลังก่อกวน ซีเนดีน ซีดาน จนสติแตก มาเตราซซี่อยู่กับเอฟเวอร์ตัน 1 ปีในฤดูกาล 1998-99 ยุคของ วอลเตอร์ สมิธ และเป็นแข้งใหม่รายแรกของกุนซือชาวสก็อตต์ โดยมาจากเปรูจา ด้วยค่าตัว 2.8 ล้านปอนด์

กระนั้น มันเป็นขวบปีอันยากลำบากที่กูดิสัน พาร์ค กองหลังพันธุ์เถื่อนชาวอิตาเลียนโดน 3 ใบแดงจาก 33 เกมที่ลงสนาม (และอีก 8 ใบเหลือง) หลังการโดนไล่ออกครั้งสุดท้ายในเกมกับโคเวนทรี ซิตี้ ซึ่งมาเตราซซี่ระบุว่า ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้ พุ่ง ตอนนั้น เขานั่งบนป้ายโฆษณาและร้องไห้

    กองหลังขาโหดกลับบ้านเกิดไปอยู่กับเปรูจาร่วม 2 ฤดูกาล ก่อนโผซบอินเตอร์ในปี 2001 เพื่อเริ่มต้นเส้นเก็บเกี่ยวความสำเร็จบนเส้นทางค้าแข้งอันเต็มไปด้วยสีสัน เขาเป็นขวัญใจของเหล่าเนรัซซูร์รี่อยู่ร่วมทศวรรษ โดยคว้ารางวัลกองหลังยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรีย อา ฤดูกาล 2006-07, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2009-10 และลงเล่นกว่า 300 นัดให้สโมสร

5.ดีเอโก้ ฟอร์ลัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

    “ดีเอโก้ ว้าว ดีเอโก้ ว้าว เขามาจากอุรุกวัย เขาทำให้สเกาเซอร์น้ำตาตก” มันยังคงเป็นบทเพลงที่ถูกร้องใน สเตตฟอร์ด เอนด์ จนถึงทุกวันนี้ มันมาจากเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชนะ 2-1 ที่แอนฟิลด์ เมื่อปี 2002 เมื่อฟอร์ลันกดคนเดียว 2 ประตู ขณะที่ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารลิเวอร์พูลซองแตก  “ดีเอโก้ ว้าว ดีเอโก้ ว้าว เขามาจากอุรุกวัย เขาทำให้สเกาเซอร์น้ำตาตก” มันยังคงเป็นบทเพลงที่ถูกร้องใน สเตตฟอร์ด เอนด์ จนถึงทุกวันนี้ มันมาจากเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชนะ 2-1 ที่แอนฟิลด์ เมื่อปี 2002 เมื่อฟอร์ลันกดคนเดียว 2 ประตู ขณะที่ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารลิเวอร์พูลซองแตก

    แม้เป็นฮีโร่ของแฟนบอลท้องถิ่นหลายๆ ราย แต่กองหน้าที่ย้ายมาจากอินเดเปนเดียนเต้ ยิงได้แค่ 17 ประตูในช่วง 3 ปีและลงเล่นเพียง 98 นัดในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด (ช็อตพลาดในเกมกระชับมิตรกับยูเวนตุส เมื่อปี 2003 จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานเท่านาน) ฟอร์ลันมักเป็นตัวเลือกที่ 2 ต่อจาก รุด ฟาน นิสเตลรอย และในที่สุด เขาถูกขายไปให้บียาร์เรอัล โดย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2004

     จากนั้น เขาคืนฟอร์มเก่งในเวทีลา ลีกา กับ “เรือดำน้ำสีเหลือง” ตามด้วยแอต.มาดริด ซึ่งเขาย้ายไปร่วมทีมในปี 2007 และประสานงานอย่างลงตัวกับ เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ดาวเตะอาร์เจนไตน์ ฟอร์ลันคว้า ปิชิชี่ โทรฟี่ (รางวัลดาวซัลโวสูงสุดลา ลีกา) สำหรับผลงาน 32 ประตูในฤดูกาล 2008-09 ก่อนคว้ารางวัลรองเท้าทองคำในฟุตบอลโลก 2010 หลังพาอุรุกวัยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ทุกวันนี้ คุณพบเขาได้ที่ มุมไบ ซิตี้ ในอินเดีย

6.อ็องโตนี่ โมเดสต์ (แบล็คเบิร์น)

ศูนย์หน้าตัวใหม่ของเทียนจิน ฉวนเจียน ใช้เวลาครึ่งฤดูกาล ภายใต้สัญญายืมตัวกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในฤดูกาล 2011-12 อันล้มเหลว คราวนี้ “กุหลาบไฟ” ร่วงตกชั้น หลังคลาดแคล้วอย่างจวนเจียนในฤดูกาลก่อนหน้านั้น เมื่อ แซม อัลลาไดซ์ โดนไล่ออกอย่างไร้เหตุผล และสโมสรพลาดคว้าตัว โรนัลดินโญ่

มกราคม 2012 อดีตกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสยู-21 โมเดสต์เป็นผู้เล่นวัย 23 ปีที่โดนปล่อยทิ้งไว้ที่ขอบเหว ดาวเตะซึ่งถูกยืมตัวจากบอร์กโดซ์ยิงประตูไม่ได้ตลอด 9 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก และโดนไล่ออกในเกมพ่ายยับต่อเวสต์บรอมวิช 0-3 ที่เดอะ ฮอว์ธอร์นส์

อย่างไรก็ตาม หลังฝันร้ายที่อีวู้ด พาร์ค โมเดสต์ยกระดับตัวเองขึ้น และเหยียบคันเร่งเดินหน้าเต็มสูบ หลังประสบความสำเร็จกับบาสเตีย เขาย้ายไปอยู่กับฮอฟเฟ่นไฮม์ และทำผลงานได้เยี่ยมตลอด 2 ฤดูกาลที่นั่น สร้างความมั่นใจให้โคโลญจน์ในการคว้าตัวไปร่วมทัพด้วยสัญญา 4 ปี

    โมเดสต์ใช้เวลาเพียง 2 ฤดูกาลเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเอง โดยทำ 40 ประตูในลีกจากการเล่น 66 เกม และกลายเป็นเป้าหมายของทีมอย่างดอร์ทมุนด์และเวสต์แฮม ในที่สุด เขาโยกมาเล่นเทียนจิน ฉวนเจียนในซูเปอร์ลีก จีน และสโมสรบุนเดสลีกาต่างรู้สึกถึงการสูญเสีย

7.แซร์ก นาบรี้ (อาร์เซน่อล)

 

ผิดที่ผิดเวลา? ในจุดหนึ่ง ดูเหมือน นาบรี้ น่าจะเป็นไปได้สวยสำหรับอาร์เซน่อลในระยะยาว ฤดูกาล 2013-14 เขาลงสนาม 14 นัดให้ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ และยิงประตูในพรีเมียร์ลีก เกมพบสวอนซี ซิตี้ ซึ่งช่วยให้ “ไอ้ปืนใหญ่” ยึดจ่าฝูงของลีกเอาไว้ได้ (โอ้ว มันเป็นวันที่สวยงามเสียจริงๆ) ช่วงท้ายของฤดูกาล ดูเหมือนสัญญาใหม่ 5 ปีคือสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สำหรับฟอร์มอันน่าตื่นเต้นของเขา นาบรี้กลายเป็นสุดยอดผู้เล่นทักษะสูงท่ามกลางแข้งเยาวชนของอาร์เซน่อล และดูเหมือนเส้นทางของเขามีแต่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

     แต่แล้วหายนะก็เกิดขึ้น อาการเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรง ทำให้เขาพลาดลงสนามนานเป็นปี ตามด้วยช่วงเวลาอันยุ่งเหยิงตลอด 5 เดือนที่ถูกเวสต์บรอมวิชยืมไปใช้งาน ก่อนสัญญาดังกล่าวถูกยกเลิกอย่างเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่าย หลัง โทนี่ พูลิส ใช้งานดาวรุ่งร่างเล็ก

    เพียง 3 ครั้งในทุกรายการ นาบรี้กลับมาอาร์เซน่อลในช่วงกลางฤดูกาล และเขาไม่ใช่คนโปรดอีกแล้ว ดังนั้น เพื่อโอกาสในการเล่นทีมชุดใหญ่ เขาย้ายไปแวร์เดอร์ เบรเมน ในซัมเมอร์ดังกล่าว ด้วยค่าตัวเพียง 5 ล้านปอนด์ มันพิสูจน์แล้วว่า นั่นเป็นการตัดสินที่ดี : นาบรี้เล่น 27 เกมในบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2016-17 โดยทำ 11 ประตูช่วยให้เบรเมนจบอันดับ 8 ของลีก ซัมเมอร์นี้ เขาย้ายสู่บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งปล่อยตัวให้ทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ใหญ่หลวงในฤดูกาลที่แล้วอย่าง ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยืมใช้งานในซีซั่นนี้

   แซร์จ นาบรี้ กองกลางดาวรุ่งทีมชาติเยอรมันซึ่งมีอายุครบ 22 ปีบริบูรณ์ในวันนี้นั้นจะย้ายไปเล่นให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ทีมของกุนซือหนุ่ม ยูเลี่ยน นาเกลสมันน์ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมถึงโอกาสในอนาคตการติดทีมชาติเยอรมันจากการลงสนามอย่างต่อเนื่อง 




แหล่งที่มา :  https://ballonair.com/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87/

โพสต์โดย : เจนจิรา เจนจิรา เมื่อ 7 ก.ย. 2560 09:55:51 น. อ่าน 494 ตอบ 0

facebook