เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคมปี 1992 ที่วลาเซนิชา เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในดินแดนบอสเนีย เด็กชายเวดัด อิบิเซวิชวัย 7 ขวบถูกคุณแม่ปลุกขึ้นมาพร้อมกับพี่สาว แล้วพาเข้าไปหลบในหลุมหลบภัยที่ขุดเองง่ายๆ ก่อนออกไปทำงาน หลังจากนั้นบ้านของเขาก็ถูกเหล่ากองทัพทหารพังราบ แต่ทหารเหล่านั้นหาได้สังเกตว่ามีเด็กชายคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เมื่อพ่อและแม่ของเขากลับมาถึงบ้านก็รีบเก็บข้าวของสำคัญโยนลงกระเป๋าและพากันหนีไป
นั่นคือช่วงต้นของสงครามบอสเนีย สงครามที่คร่าชีวิตคนกว่าแสนชีวิตในช่วงปี 1992 ถึง 1995 เวดัดและครอบครัวหนีไปอาศัยอยู่กับญาติในต่างเมืองร่วมกับผู้ลี้ภัยอื่นๆ อีก 5 ครอบครัวในบ้านหลังเดียว และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง
เวดัดเป็นเด็กที่ชอบการเล่นฟุตบอลจนเข้าขั้นหลงใหล การได้เล่นฟุตบอลในสนามช่วยทำให้เขาลืมความโหดร้ายของสงครามได้หมดสิ้น เขาเริ่มพัฒนาฝีเท้ากับนักเตะกึ่งอาชีพคนหนึ่งจนสามารถมองเห็นลู่ทางการเข้าสู่เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ ในขณะนั้นเขาอายุได้เพียง 16 ปีและมีความฝันอันยิ่งใหญ่ จนในที่สุดเขาก็ถูกเรียกติดทีมฟุตบอลเยาวชนทีมชาติบอสเนีย แต่ระหว่างนั้นเขาก็ต้องพบกับอุปสรรคไม่น้อยเลย
ครอบครัวของเขามีอันต้องอพยพไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะต้องออกเดินทางต่อกว่า 7,500 กิโลเมตรไปยังเซนต์หลุยส์ เมืองที่เต็มไปด้วยกลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่ แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวดัดก็ไม่เคยเลิกเล่นฟุตบอลเลย เขาและครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกาทั้งที่แทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่หลังจากนั้น 2 ปีเวดัดก็เรียนจบไฮสคูลและได้ทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์
เวดัดเริ่มสร้างชื่อในการลงเล่นฟุตบอล 2-3 ฤดูกาลกับทีมเซนต์หลุยส์และชิคาโก้ โดยยิงไป 39 ประตูจาก 46 เกม จนฟอร์มของเขาไปเข้าตาโค้ชชาวบอสเนียของทีมยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศส ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งบังเอิญมาทัวร์ที่อเมริกาพอดี ในที่สุดเขาก็ได้รับสัญญาค้าแข้งอาชีพฉบับแรกในชีวิตและบินมายังกรุงปารีสเพื่อออกสตาร์ทในฤดูกาล 2004/05
แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นไปตามแผน เมื่อแข้งวัย 20 ในขณะนั้นถูกไล่ออกจากสนามในนัดที่ 4 ที่เขาลงเล่นในลีกเอิง หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงไปเพียง 5 นาทีเท่านั้น และนั่นก็เป็นนัดสุดท้ายในชุดทีมเปเอสเชของเขา เมื่อยอดทีมปารีสตัดสินใจปล่อยตัวเขาไปให้ดิฌง ทีมจากดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศสในขณะนั้นยืมไปใช้งาน
หลังประสบความสำเร็จในศึกดิวิชั่น 2 ด้วยผลงาน 10 ประตูจาก 34 เกม เขาก็ย้ายมาร่วมทีมอเลมานเนีย อาเค่น เพื่อลงฟาดแข้งในศึกบุนเดสลีกาเยอรมนีเป็นครั้งแรก และแม้อิบิเซวิชจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิง 6 ประตูและทำอีก 1 แอสซิสต์ แถมช่วยพาทีมอาเค่นพลิกล็อคเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรีย “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 1-0 ประตูในปีนั้น แต่ก็ไม่อาจช่วยให้ทีมรอดตกชั้นได้ในฤดูกาล 2006/07 ได้
แต่ก่อนสิ้นฤดูกาลนั้น อิบิเซวิชในวัย 23 ปีก็ได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงให้ทีมชาติบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเป็นครั้งแรกในตำแหน่งปีกซ้าย โดยช่วยให้บอสเนียเบียดเอาชนะนอร์เวย์ไปได้ 2-1 ประตูในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก
ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของเขายังไปเข้าตา ราล์ฟ รังนิค กุนซือที่กุมบังเหียนทีมฮอฟเฟนไฮม์ในบุนเดสลีกา 2 ในขณะนั้น ทำให้รังนิคไม่คิดลังเลที่จะเซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีมเพื่อสานฝันเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดของเยอรมนี และแล้วฮอฟเฟนไฮม์ก็เลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จ ซึ่งในปีนั้นอิบิเซวิชยังโชว์ฟอร์มไม่ร้อนแรงนัก แต่ก็ไม่ขี้เหร่ ยิงไป 5 ประตู 2 แอสซิสต์
ในฤดูกาลแรกบนเวทีบุนเดสลีกา ฮอฟเฟนไฮม์โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงเมื่อขึ้นไปครองตำแหน่งจ่าฝูงบนตารางในครึ่งฤดูกาลแรกได้อย่างน่าทึ่ง โดยอิบิเซวิชระเบิดฟอร์มสุดยอด กดไปถึง 18 ประตูกับ 7 แอสซิสต์จาก 17 เกม รวมถึงเหมาคนเดียว 2 ลูกในเกมที่ถล่ม “เสือเหลือง” ดอร์ทมุนด์ไปราบคาบ 4-1 ประตู
แต่น่าเสียดายมากที่อิบิเซวิชต้องมาโชคร้ายเอ็นไขว้หัวเข่าฉีกจนต้องพักยาวตลอดฤดูกาลที่เหลือ ทำให้ฮอฟเฟนไฮม์ฟอร์มร่วงหนัก ไม่ชนะใครถึง 12 นัดติดต่อกันจนหล่นลงมาจบในอันดับที่ 7 บนตารางเมื่อสิ้นฤดูกาล คว้าตั๋วไปเล่นรอบคัดเลือกศึกยูโรปาลีก จึงเป็นคำถามที่คาใจสำหรับฮอฟเฟนไฮม์และเหล่าแฟนบอลเสมอมาว่า “ถ้าหากตอนนั้นอิบิเซวิชไม่เจ็บล่ะ..?”
อย่างน้อยอิบิเซวิชก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีดีพอที่จะเป็นศูนย์หน้าที่เจ๋งที่สุดในบุนเดสลีกาคนหนึ่ง และหวังจะเดินตามรอยเซอร์เก บาร์บาเรซ ดาวยิงเลือดบอสเนียคนแรกที่คว้าตำแหน่งดาวยิงสูงสุดแห่งบุนเดสลีกา อิบิเซวิชกลับมาโชว์ฟอร์มเยี่ยมอีกครั้งในฤดูกาล 2009/10 ซัดไป 12 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ รวมถึงทำแฮตทริกได้ในนัดที่พบกับแฮร์ธ่า เบอร์ลินโดยใช้เวลาเพียงแค่ 21 นาทีเท่านั้น เขาค้าแข้งกับฮอฟเฟนไฮม์ต่อไปอีก 1 ฤดูกาลครึ่ง ก่อนจะย้ายลงใต้ไปอยู่กับทีมดีกรีแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยอย่างเฟาเอฟเบ ชตุทท์การ์ทในเดือนมกราคมปี 2012 โดยในปีนั้นทีม “ม้าขาว” โชว์ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด แต่ด้วยผลงาน 8 ประตูจาก 15 เกมของอิบิเซวิชก็ช่วยให้พวกเขาทะยานขึ้นไปจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 บนตาราง คว้าตั๋วไปเล่นยูโรปาลีกได้สำเร็จ
อิบิเซวิชประสบความสำเร็จสูงสุดในการค้าแข้งกับ “ม้าขาว” ชตุทท์การ์ทในช่วงฤดูกาล 2012/13 โดยยิงไป 15 ประตูจาก 30 เกมในบุนเดสลีกา รวมทั้งยิง 5 ประตูในเวทียูโรปาลีกและอีก 4 ประตูในศึกเดเอฟเบ โพคาลซึ่งชตุทท์การ์ทพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคไปสุดมันส์ 3-2 ประตู หลังจากความผิดหวังในนัดนั้น เขาก็กลับมาระเบิดแฮตทริกใส่ฮอฟเฟนไฮม์ทีมเก่าได้ในเดือนกันยายน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตค้าแข้งของเขาขึ้น…
วันที่ 15 ตุลาคม 2013 เขาเป็นคนยิงประตูชัยให้บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเอาชนะลิทัวเนียไป 1-0 ประตู พาทีมบ้านเกิดของเขาผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจบเกมแฟนบอลหลายแสนคนมารอตอนรับฮีโร่ของพวกเขาอยู่เต็มท้องถนนในกรุงซาราเยโว
และแล้วเส้นทางในบุนเดสลีกาก็นำเขามายังเมืองหลวงของเยอรมนี เมื่อเขาถูกยืมตัวมาเล่นให้กับแฮร์ธ่า เบอร์ลินในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ก่อนจะถูกซื้อขาดในปี 2016 เขาได้รับหน้าที่ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมภายใต้การคุมบังเหียนของยอดกุนซืออย่าง พาล ดาร์ได และออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมกับผลงานยิง 6 ประตูกับ 3 แอสซิสต์จากแค่ 8 เกมแรกเท่านั้น
อิบิเซวิชยังคงเดินหน้าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมต่อไปในฤดูกาล 2016/17 โดยทำสถิติยิง 2 ประตูในเกมเดียวได้เป็นครั้งที่ 20 ในเวทีบุนเดสลีกานัดที่ 6 ของฤดูกาลที่พบกับฮัมบวร์กหลังจากภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวเพียงไม่กี่ชั่วโมง พร้อมกับแซงหน้าเซอร์เก บาร์บาเรซ ผู้ครองสถิตินักเตะบอสเนียที่ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในบุนเดสลีกา ตามด้วยการยิงประตูในบุนเดสลีกาครบ 100 ประตูในเกมที่ 12 และลงเล่นครบ 250 เกมในบุนเดสลีกาในนัดที่ 23
จากเด็กชายอิบิเซวิชที่ต้องหลบซ่อนอยู่ในหลุมในวันนั้น เขาเดินทางลี้ภัยสงครามมาไกลจนกลายเป็นดาวเด่นที่จรัสแสงบนเวทีบุนเดสลีกา เขาคือหนึ่งในดาวยิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีความเป็นผู้นำ และเป็นกัปตันที่มุ่งมั่น ฟุตบอลนั้นไม่เพียงเป็นทางออกสำหรับเขา แต่กลายเป็นชีวิตของเขาไปแล้วด้วย
ติดตามข่าวสารฟุตบอล ได้ที่ https://www.fifa55bigmatch.com/
โพสต์โดย : MyMelody เมื่อ 29 ก.ย. 2561 23:45:46 น. อ่าน 493 ตอบ 0